น้ำยางจากต้นยาง เพื่อนำไปใช้ผลิตยางธรรมชาติ

ยาง คือ วัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับเปลี่ยนรูปได้ตามการใช้งาน ซึ่งมีสองประเภทหลัก ได้แก่ ยางธรรมชาติที่ได้จากน้ำยางพารา และยางสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นจากกระบวนการเคมี ทั้งสองประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยยางธรรมชาติจะทนทานต่อการใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง แต่ไม่ทนต่อสารเคมีและความร้อน ในขณะที่ยางสังเคราะห์มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ความต้านทานน้ำมันและสารเคมีที่ดีกว่า และสามารถนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการก่อสร้าง การเลือกยางที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด

Table of Content

  • ยางคืออะไร และสามารถจำแนกยางได้เป็นกี่ประเภท ?
    • ยางธรรมชาติ (Natural Rubber) คืออะไร มีกี่ลักษณะ อะไรบ้าง
    • ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber) คืออะไร มีกี่ประเภท ?
  • ยางแต่ละประเภทและการนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
  • ตารางเปรียบเทียบของยางแต่ละประเภท

ยาง คือ วัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนรูปได้ตามการใช้งาน และยังสามารถนำไปสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม

ยางในปัจจุบันมีหลากหลายประเภท ทั้งยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป และเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติของยางให้มากขึ้น บทความนี้จะมาบอกถึงข้อมูลควรรู้ว่ายางคืออะไร และสามารถจำแนกยางได้เป็นกี่ประเภท และหากต้องการนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมควรเลือกใช้งานอย่างไรถึงจะเหมาะสม

ยางคืออะไร และสามารถจำแนกยางได้เป็นกี่ประเภท ?

ยางเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่น เมื่อออกแรงดึงหรือกด และสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้เมื่อปล่อยยางเป็นอิสระ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ยางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์

ยางธรรมชาติ (Natural Rubber) คืออะไร มีกี่ลักษณะ อะไรบ้าง

ยางธรรมชาติ (Natural Rubber หรือ NR) คือ วัสดุพอลิเมอร์ที่ได้มาจากน้ำยางพาราของต้นยางพารา หรือชื่อทางพฤกษศาสตร์ คือ Hevea Brasiliensis มีลักษณะเป็นของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนม มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อแรงดึง การฉีกขาด และการสึกหรอ แต่ไม่ทนต่อตัวทำละลายพวกน้ำมันปิโตรเลียม และมักเสื่อมสภาพเร็วภายใต้แสงแดด ความร้อน ออกซิเจน และโอโซน

ประเภทของยางธรรมชาติ 

  • ยางแห้ง (Dry Rubber Content) คือ ยางธรรมชาติที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อขจัดน้ำออกแล้ว ซึ่งจะใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ยางรถยนต์ พื้นรองเท้า สายพาน และอุปกรณ์ทางการแพทย์
  • ยางเหลวหรือน้ำยางธรรมชาติ (Latex) คือ น้ำยางในรูปของเหลวที่มีลักษณะเป็นคอลลอยด์ ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตเครื่องเรือน หมอนยาง และผลิตภัณฑ์ยางประเภทอื่น ๆ

ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber) คืออะไร มีกี่ประเภท ?

ยางสังเคราะห์ คือ ยางที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี เพื่อเลียนแบบยางธรรมชาติ มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท โดยความหนาแน่น ยืดหยุ่น หรือความแข็งของยางแต่ละประเภทจะแตกต่างกัน และมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน

ประเภทของยางสังเคราะห์

  • ยางพอลิไอโซพรีน (Cis -1,4-polyisoprene, IR) เป็นยางสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติเหมือนยางธรรมชาติ มีคุณภาพสม่ำเสมอ สิ่งเจือปนน้อย และเป็นสีขาว จึงทำให้ผสมสีได้ง่ายและสวยงามกว่า
  • ยางบิวตาไดอีน (Butadiene Rubber, BR) เป็นยางที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก จึงทำให้มีคุณสมบัติในการกระเด้งกระดอนสูง มีความต้านทานต่อแรงขัดถูได้สูง แต่มีความต้านทานต่อแรงดึงได้ต่ำ
  • ยางคลอโรพรีน (Chloroprene Rubber, CR) เป็นยางที่ทนทานต่อเปลวไฟได้ดี และทนต่อการกัดกร่อนของน้ำมันและสารเคมี
  • ยางสไตรีนบิวตาไดอีน (Styrene-Butadiene Rubber, SBR) เป็นยางที่ทนต่อการเสียดสีได้ดี ทั้งยังทนต่อกรด ด่างเจือจาง แอลกอฮอล์ น้ำ ไกลคอล เกลือ และน้ำมันซิลิโคน แต่ไม่ทนต่อน้ำมันปิโตรเลียมและไฮโดรคาร์บอน
  • ยางไนไตรล์ (Nitrile or Acrylonitrile-Butadiene Rubber, NBR) เป็นยางที่มีความทนต่อแรงดึงต่ำ จำเป็นต้องเติมสารตัวเติมเสริมแรง ทนต่อการกัดกร่อนของน้ำมัน ความร้อน และต้านทานต่อการขัดถู
  • ยางบิวไทล์ (Butyl Rubber, IIR) เป็นยางที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศ ความร้อน ไอน้ำ โอโซน และออกซิเจนได้ดี
  • ยางเอทิลีนพรอพิลีนไดอีน (Ethylene-Propylene Diene Monomer, EPDM) เป็นยางที่ทนต่อความร้อน สภาพอากาศ ไอน้ำ โอโซน และออกซิเจน รวมถึงต้านทานต่อการขัดถูได้ดี
  • ยางซิลิโคน (Silicone Rubber, Q) เป็นยางที่ทนความหนาแน่นสูง รวมถึงยังทนต่อการซึมผ่านของก๊าซได้ดีกว่ายางชนิดอื่น ๆ แต่ทนทานต่อแรงดึงค่อนข้างต่ำ ทั้งยังไม่ทนต่อกรดและด่าง หรือสารเคมีจำพวกคีโตน และอีเทอร์

การนำยางไปใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

ยางแต่ละประเภทและการนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ 

เนื่องจากยางแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนั้น การนำยางไปใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จึงควรเลือกให้เหมาะสม โดยตัวอย่างของการนำยางไปใช้งานมีดังนี้

ยางธรรมชาติ

ยางธรรมชาติ เป็นวัตถุดิบที่สามารถนำไปผลิตได้หลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ถุงมือยาง ยางรัดของ ลูกโป่ง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือทางการแพทย์ ยางแผ่นรมควัน ยางแผ่นผึ่งแห้ง ยางแท่ง ยางรถจักรยาน และยางรถยนต์

ยาสังเคราะห์

ยางสังเคราะห์ สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยสามารถแยกตามประเภทของยางได้ ดังนี้

  • ยางพอลิไอโซพรีน สามารถนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคนที่มีอาการภูมิแพ้ต่อยางธรรมชาติ
  • ยางบิวตาไดอีน เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ ที่ต้องการความทนทานต่อการขัดถู และลูกกอล์ฟ ลูกฟุตบอล ที่ต้องการความกระเด้งกระดอนสูง
  • ยางคลอโรพรีน เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ยางที่ต้องทนเปลวไฟ สารเคมี และน้ำมัน เช่น ยางซีล ยางสายพานลำเลียงในเหมืองแร่
  • ยางสไตรีนบิวตาไดอีน เหมาะสำหรับการใช้ทำผลิตภัณฑ์ที่ทนทานต่อการเสียดสี เช่น พื้นรองเท้า สายพาน และยางรถยนต์
  • ยางไนไตรล์ เหมาะสำหรับใช้กับผลิตภัณฑ์ยางที่ต้องสัมผัสกับน้ำมัน เช่น ประเก็นน้ำมัน ยางโอริง ยางซีล
  • ยางบิวไทล์ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีการซึมผ่านของก๊าซต่ำ และทนต่อสภาพอากาศได้ดี เช่น ยางในรถยนต์ ถุงยางลมสำหรับอบล้อให้คงรูป จุดปิดภาชนะ ปลอกหุ้มสายไฟหรือสายเคเบิล
  • ยางเอทิลีนพรอพิลีนไดอีน เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสน้ำมัน ความร้อน และการขัดถู เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ ท่อยางเครื่องซักผ้า สายพานลำเลียง และแผ่นยางกันน้ำ
  • ยางซิลิโคน เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถใช้ยางประเภทอื่นมาทดแทนได้ เช่น ชิ้นส่วนของเครื่องบินและรถยนต์ ฉนวนเคเบิล และเครื่องมือทางการแพทย์

ตารางเปรียบเทียบของยางแต่ละประเภท

ยาง คือหนึ่งในวัสดุที่นิยมเลือกมาใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท สามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งยางแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ ข้อจำกัด และการใช้งานที่แตกต่างกันไปดังต่อไปนี้

ประเภทของยางคุณสมบัติเด่นข้อจำกัดการใช้งานทั่วไป
ยางธรรมชาติ (Natural Rubber)
ยางแห้ง (Dry Rubber Content)– ผ่านกระบวนการแปรรูปขจัดน้ำออกแล้ว

– มีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งาน

– ไม่ทนต่อน้ำมันและสารเคมีบางชนิด– ยางรถยนต์

– พื้นรองเท้า

– สายพาน

– อุปกรณ์ทางการแพทย์

ยางเหลวหรือน้ำยางธรรมชาติ (Latex)– อยู่ในรูปของเหลวที่มีลักษณะเป็นคอลลอยด์

– ทนทานต่อการใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง

– เสื่อมสภาพเร็วเมื่อสัมผัสกับอากาศหรือสารเคมีบางชนิด– เครื่องเรือน

– หมอนยาง

– ผลิตภัณฑ์ยางประเภทอื่นๆ

ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber)
ยางพอลิไอโซพรีน (Cis-1,4-polyisoprene, IR)– คุณสมบัติใกล้เคียงกับยางธรรมชาติ

– มีคุณภาพสม่ำเสมอ

– ทนทานต่อการขัดถูดี

– ไม่ทนต่อสารเคมีบางชนิด– ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง

– ยางในเครื่องมือทางการแพทย์

ยางบิวตาไดอีน (Butadiene Rubber, BR)– ความยืดหยุ่นสูงมาก

– ทนต่อแรงขัดถูได้ดี

– เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความกระเด้งกระดอนสูง

– ความต้านทานต่อแรงดึงต่ำ– ยางรถยนต์

– ลูกกอล์ฟ

– ลูกฟุตบอล

ยางคลอโรพรีน (Chloroprene Rubber, CR)– ทนทานต่อเปลวไฟ

– ทนต่อการกัดกร่อนของน้ำมันและสารเคมี

– ไม่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง

– เสื่อมสภาพภายใต้สภาวะแวดล้อมที่รุนแรง

– ยางซีล

– ยางสายพานลำเลียงในเหมืองแร่

– ผลิตภัณฑ์ที่ทนไฟและน้ำมัน

ยางสไตรีนบิวตาไดอีน (Styrene-Butadiene Rubber, SBR)– ทนต่อการเสียดสีดี

– ทนต่อกรด ด่างเจือจาง และแอลกอฮอล์

– เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความทนทาน

– ไม่ทนต่อน้ำมันปิโตรเลียมและไฮโดรคาร์บอน– พื้นรองเท้า

– สายพาน

– ยางรถยนต์

ยางไนไตรล์ (Nitrile Rubber, NBR)– ทนต่อการกัดกร่อนของน้ำมันและความร้อน

– ทนต่อการขัดถู

– ทนทานต่อแรงดึงต่ำ

– ต้องเติมสารเสริมแรง

– ยางโอริง

– ประเก็นน้ำมัน

– ยางซีล

ยางบิวไทล์ (Butyl Rubber, IIR)– ทนทานต่อสภาพอากาศ ความร้อน และไอน้ำ

– ทนต่อโอโซนและออกซิเจน

– ไม่ทนต่อแรงดึงสูง

– ใช้งานได้เฉพาะในบางประเภทของผลิตภัณฑ์

– ยางในรถยนต์

– ปลอกหุ้มสายไฟ

– ถุงยางลมสำหรับอบล้อ

ยางซิลิโคน (Silicone Rubber, Q)– ทนทานต่อความหนาแน่นสูง

– ทนทานต่อการซึมผ่านของก๊าซ

– เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษ

– ทนทานต่อแรงดึงต่ำ

– ไม่ทนต่อกรดและด่างบางชนิด

– ชิ้นส่วนของเครื่องบินและรถยนต์

– ฉนวนเคเบิล

– เครื่องมือทางการแพทย์

ทั้งหมดนี้ คงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกประเภทของยางไปใช้งานได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น แต่สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการแม่พิมพ์สำหรับฉีดขึ้นรูปพลาสติกและผลิตภัณฑ์ยาง เลือกใช้บริการ Molder Enterprise ผู้ให้บริการรับทำแม่พิมพ์และรับฉีดพลาสติกและยางคุณภาพดี ด้วยเครื่องจักรที่ได้มาตรฐาน และช่างผู้มีประสบการณ์ยาวนาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ โทร. 034-476-173

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยางและการใช้งาน

ยางสังเคราะห์มีข้อดีอย่างไรเมื่อเทียบกับยางธรรมชาติ ?

ยางสังเคราะห์มีความทนทานต่อสารเคมี น้ำมัน และความร้อน รวมทั้งสามารถปรับแต่งคุณสมบัติให้เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะได้มากกว่า

กระบวนการผลิตยางธรรมชาติกับยางสังเคราะห์แตกต่างกันอย่างไร ?

ยางธรรมชาติได้มาจากการสกัดน้ำยางจากต้นยางพารา ขณะที่ยางสังเคราะห์ผลิตขึ้นผ่านกระบวนการเคมีโดยใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ไอโซพรีนหรือบิวตาไดอีน

ยางสังเคราะห์สามารถทดแทนยางธรรมชาติในทุกการใช้งานได้หรือไม่ ?

ถึงแม้ว่ายางสังเคราะห์จะทดแทนยางธรรมชาติได้ในหลายกรณี แต่บางครั้งยางธรรมชาติอาจให้คุณสมบัติที่ดีกว่าในด้านความยืดหยุ่นและความทนทาน

ยางประเภทไหนเหมาะสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่ต้องทนทานต่อสารเคมี ?

ยางคลอโรพรีน (CR) และยางไนไตรล์ (NBR)

การเลือกยางในอุตสาหกรรมยานยนต์ควรพิจารณาอะไรบ้าง ?

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ควรเลือกยางที่มีความทนทานต่อการเสียดสีและทนความร้อนได้ดี เช่น ยางบิวตาไดอีน (BR) หรือยางสไตรีนบิวตาไดอีน (SBR)

 

ข้อมูลอ้างอิง

  1. สมบัติทั่วไปของยางสังเคราะห์. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 จาก https://rubber.oie.go.th/box/Article/21039/1.สมบัติทั่วไปของยางสังเคราะห์.pdf
  2. ยาง (rubber). สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 จาก https://designtechnology.ipst.ac.th/wp-content/uploads/sites/83/2018/12/ยาง.pdf
  3. ข้อดีและข้อเสียของยางคืออะไร?. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จาก https://th.hqlrubber.com/news/what-are-the-advantages-and-disadvantages-of-r-44210602.html
  4. ยาง NR หรือยาง ธรรมชาติคืออะไร เอามาทำอะไรได้บ้าง. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.nerubber.com/th/updates/blog/57/ยาง-nr-หรือยาง-ธรรมชาติคืออะไร-เอามาทำอะไรได้บ้าง